[อัปเดต 2025] สร้างแบรนด์อาหารเสริมใช้เงินเท่าไหร่? เปิดทุกต้นทุนที่มือใหม่ต้องรู้

ธุรกิจอาหารเสริมยังคงเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่ความตื่นตัวด้านสุขภาพของผู้บริโภคทำให้การลงทุนในธุรกิจนี้ยังคงมีความน่าสนใจสูง แต่คำถามสำคัญที่ผู้ประกอบการมือใหม่ต้องเจอคือ “รับสร้างแบรนด์อาหารเสริม ต้องเตรียมเงินลงทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?” การวางแผนงบประมาณที่แม่นยำคือหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ บทความนี้จะเปิดเผยทุกต้นทุนหลักที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบรนด์อาหารเสริมในยุค อัปเดต 2025 ตั้งแต่ขั้นตอนการคิดค้นสูตร การขออนุญาต ไปจนถึงการตลาดและการขาย เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ต้นทุนก่อนการผลิต (Pre-Production Costs)

นี่คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นของการรับสร้างแบรนด์อาหารเสริม ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของความน่าเชื่อถือและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

1. ค่าวิจัยและพัฒนาสูตร (R&D)

การมีสูตรที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพคือจุดขายที่สำคัญที่สุด

  • ใช้สูตรมาตรฐานของโรงงาน: เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด โดยเริ่มต้นที่หลักหมื่นบาทไปจนถึงหลักแสนบาท โรงงานส่วนใหญ่จะมีสูตรสำเร็จรูปที่ได้รับการวิจัยแล้ว
  • พัฒนาสูตรใหม่ (Custom Formulation): เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการความแตกต่างอย่างแท้จริง ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่ามาก (หลักแสนถึงหลักล้านบาท) ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ สารสกัดที่ใช้ และความซับซ้อนของงานวิจัยที่ต้องทำร่วมกับทีม R&D ของโรงงาน

2. ค่าขึ้นทะเบียนและขออนุญาตจาก อย. (FDA Approval)

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมทุกชนิดต้องได้รับการจดแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้สามารถจำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งโรงงานรับสร้างแบรนด์อาหารเสริมส่วนใหญ่จะช่วยดูแลในส่วนนี้

  • ค่าขอรหัสผู้ประกอบการ: ประมาณ 1,000 บาท (ชำระเพียงครั้งแรก)
  • ค่าจดแจ้งผลิตภัณฑ์ (อย. เลขสารบบ): ประมาณ 1,500 บาทต่อผลิตภัณฑ์
  • ค่าตรวจสอบคุณภาพสินค้าและสารสำคัญ: อาจมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับประเภทการทดสอบและความซับซ้อนของสารสกัดที่ใช้ แต่บางโรงงานจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้ในแพ็กเกจแล้ว

3. ค่าออกแบบบรรจุภัณฑ์และเครื่องหมายการค้า

ฉลากและโลโก้คือหน้าตาของแบรนด์ที่สร้างความแตกต่างในสายตาผู้บริโภค

  • ค่าออกแบบโลโก้และฉลากสินค้า: เริ่มต้นที่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและความเชี่ยวชาญของนักออกแบบ
  • ค่าจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า: เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบในอนาคต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทางราชการและค่าดำเนินการ

ต้นทุนการผลิต (Production Costs)

นี่คือต้นทุนหลักที่คิดเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณขั้นต่ำในการสั่งผลิต (Minimum Order Quantity – MOQ)

1. ค่าวัตถุดิบและสารสกัด

ราคาสารสกัดมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะสารสกัดนำเข้าที่อาจมีราคาสูงถึงหลักหมื่นบาทต่อกิโลกรัม การเลือกใช้สารสกัดพรีเมียมจะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้นอย่างชัดเจน

2. ค่าบรรจุภัณฑ์ (Packaging)

ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่เลือก เช่น:

  • แคปซูล/เม็ด: ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ค่อนข้างต่ำ (แผงฟอยล์, ขวดพลาสติก)
  • ผงชงดื่ม: ต้นทุนสูงกว่าเล็กน้อย (ซองฟอยล์, กระป๋อง)
  • เครื่องดื่มพร้อมดื่ม (Shots): ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ (ขวดแก้ว, ขวดพลาสติกพิเศษ) และค่าดำเนินการบรรจุจะสูงที่สุด

3. ค่าดำเนินการผลิตและบรรจุ

  • MOQ: โรงงานส่วนใหญ่มี MOQ ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปอาจเริ่มต้นที่ 1,000 – 3,000 ชิ้นต่อสูตร หากเลือก MOQ ที่ต่ำ ต้นทุนต่อหน่วยจะสูงกว่าการผลิตในปริมาณมาก

สรุปงบประมาณเริ่มต้น: สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ที่เลือกใช้สูตรมาตรฐานของโรงงานและมี MOQ ต่ำ งบประมาณสำหรับการผลิตเริ่มต้น (รวมค่าบรรจุภัณฑ์พื้นฐานแล้ว) อาจอยู่ที่ประมาณ 60,000 – 300,000 บาท ต่อ 1 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใช้สำหรับวางแผนเบื้องต้น

ต้นทุนหลังการผลิตและการตลาด (Post-Production & Marketing Costs)

ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องมาพร้อมกับการตลาดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเกิดการซื้อ

1. ต้นทุนการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing)

เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างยอดขายในยุคปัจจุบัน

  • ค่าโฆษณาออนไลน์ (Ads): การยิงโฆษณาบน Facebook, TikTok, Google Ads มีค่าใช้จ่ายผันแปรตามความต้องการและงบประมาณ มักเริ่มต้นที่หลักพันบาทต่อเดือน
  • ค่าคอนเทนต์และการถ่ายภาพสินค้า: การสร้างรูปภาพ วิดีโอ หรือบทความรีวิวที่มีคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นบาท
  • ค่าจ้างรีวิว/อินฟลูเอนเซอร์: ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและความเข้าถึงของ KOL/Influencer ซึ่งอาจมีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักแสนบาทต่อโพสต์

2. ต้นทุนการบริหารจัดการ

  • ค่าขนส่งและคลังสินค้า: หากไม่มีคลังสินค้าเป็นของตัวเอง อาจมีค่าใช้จ่ายในการฝากสินค้าและค่าจัดส่ง
  • ค่าใช้จ่ายในการขาย: ค่าธรรมเนียมการขาย (GP) หากขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Shopee, Lazada) ซึ่งมีอัตราประมาณ 3-10% ต่อชิ้น หรือค่าคอมมิชชั่นสำหรับตัวแทนจำหน่าย

สรุปภาพรวม: การรับสร้างแบรนด์อาหารเสริมที่ประสบความสำเร็จในยุค 2025 ต้องมีงบประมาณที่พร้อมสำหรับทั้งการผลิตที่ได้มาตรฐาน (เริ่มต้น 60,000 – 300,000 บาท) และงบประมาณการตลาดที่มากพอสำหรับการเข้าถึงตลาดออนไลน์ ซึ่งรวมแล้วอาจต้องเตรียมเงินทุนเริ่มต้นที่ 200,000 – 500,000 บาท สำหรับการเริ่มต้นอย่างระมัดระวัง

BioSierra โรงงานรับผลิตอาหารเสริมสร้างแบรนด์ครบวงจร

หากคุณต้องการรับสร้างแบรนด์อาหารเสริมที่ได้มาตรฐานและเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นใจ BioSierra คือโรงงานรับผลิตอาหารเสริมครบวงจร เราพร้อมให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้น การวิจัยและพัฒนาสูตรโดยทีมเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการดำเนินการขอ อย. และออกแบบบรรจุภัณฑ์ เรามีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและบริการแบบ One Stop Service ที่ช่วยให้คุณลดความยุ่งยากในการบริหารต้นทุนและการผลิต

ปรึกษาฟรีกับผู้เชี่ยวชาญวันนี้ หรือขอใบเสนอราคาไม่มีค่าใช้จ่าย!

โทร. 092-608-5716